เส้นทางสู่ UX ของเต่า ที่ไม่เคยหยุดเดิน

Mr.Dolphin
2 min readNov 22, 2020

--

สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อ ทิว นะครับ หลังจากที่ย้ายสายงานจาก Industrial Engineer มาเป็น Dev. และจาก Dev มาเป็น UX/UI วันนี้ผมมีเรื่องอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ หรือใครหลายๆคนที่ กำลังรู้สึกว่างานที่ตัวเองทำอยู่นั้น “ยาก” เกินไป หรือรู้สึกว่าตัวเราเอง “ไม่มีคุณค่า” ในงานที่ทำ

ลองฟังสิ่งที่ผมจะเล่าดูนะครับเผื่อจะมีกำลังใจมากขึ้นครับ

หลังจากที่ผมเป็น Dev มาได้สักพักผมก็เริ่มรู้สึกว่า บางที Dev การจะ Dev ให้ดีผมควรที่จะเข้าใจความต้องการลูกค้าให้มากขึ้น ผมจึงตัดสินใจปรึกษาพี่ในทีมและขอย้ายมาทำ UX/UI และได้พบกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งย้ายมาจากอีกทีม ผมจึงได้ทำความรู้จักกับน้องเขา และสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากตัวน้องเขาหลักๆ คือ
1. น้องเขาค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง
2. น้องเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจยาก

พอมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่ม สงสัยว่ามันเกี่ยวยังไงกับหัวเรื่องด้านบน มันถัดจากนี้ครับ แฮะๆ

หลังจากที่ได้ร่วมงานกับน้องสักพัก ผมก็เริ่มสังเกตเห็น อะไรหลายๆ อย่างที่ต่างออกไป เช่น
1. เวลาที่เราคุยงานกันน้องจะบันทึกเสียงไว้
2. น้องจะนำเสียงที่บันทึกไว้กลับมาฟัง ซ้ำๆ และถ้าน้องไม่เข้าใจตรงไหน น้องจะไปถามทันที
3. น้องจะจดบันทึกทุกอย่างที่เป็นไปได้

ผมแบบ…เหยยย! น้องมันทุ่มเทหว่ะ!

วันนึงผมกำลังเดินไปหาอะไรกินกับทีม ผมลองถามน้องคนนึงในทีมที่เป็นเพื่อนสนิทกับน้องคนนี้ ซึ่งน้องเขาเล่าว่า “น้องคนนี้เคยเป็น Dev อยู่ 4 เดือน แต่ไม่สามารถเขียน Code ด้วยตัวเองได้ และต้อง Pair กับคนอื่นอยู่เสมอ เลยทำให้น้องคนนี้รู้สึกว่า ตัวเอง “ไม่มีคุณค่า”พอที่จะอยู่ในทีม จึงทำให้น้องตัดสินใจขอย้ายมาทำ UX/UI” ซึ่งก็ถูกย้ายมาทีมผมนั่นเอง

แต่โชคชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรสักอย่าง วันนั้นผมต้องทำงานร่วมกับน้องในการ Design UX Module หนึ่งที่ต้องรีบส่งให้ลูกค้า พวกเราจึงรีบปั่นงานกันจนถึงค่ำๆ และผมบอกน้องว่า “เหยยย! น้องลองมาเล่าให้พวกพี่ฟังหน่อยดิ”

น้องก็เดินมาเปิด Figma และเริ่มเล่าให้ฟัง น้องเล่าถึงแต่ว่า
1. หน้านี้มันจะมี Feature นี้นะครับ กดไปและมันจะเป็นแบบนี้ บลาๆ
2. หน้านี้เชื่อมกับหน้านี้นะครับ หน้านี้บอกแบบนี้นะครับ บลาๆ

ผมด้วยความที่เริ่มรู้สึกว่าน้องอาจจะกำลังเดินผิดทาง เลยจัดบทเรียนให้น้องสักหน่อย โดยการไปเรียกทีม Dev ที่ยังพอว่างอยู่มานั่งฟังน้องเขา Present ซึ่งหลังจากฟังแล้ว Dev คนนึงถามว่า “สรุปแล้ว Module นี้คุณต้องการทำไปทำไม ?” น้องถึงกับอึ้งและตอบแบบตะกุกตะกัก จนไม่สามารถจับใจความได้ ผมเลยบอกให้น้องไปหาคำตอบมาก่อนว่าสิ่งที่น้องกำลังทำเนี่ย ทำไปทำไม รวมถึงให้น้องซ้อมมาเยอะๆ

น้องรีบกลับไปหาคำตอบด้วยการ เปิดไฟล์เสียง ที่ Team กำลังคุยกันเรื่อง Module นี้และพยายามทำความเข้าใจกับมัน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ น้องจึงขอตัวกลับบ้านก่อน

พอเช้าวันต่อมาเป็นวันที่ต้องคุยกับลูกค้า น้องมาสาย แต่ก็มาทันคุยกับลูกค้า ผมถามน้องว่าทำไมถึงมาสาย

น้องตอบผมว่า: “เมื่อคืนผมซ้อมทั้งคืนเลยครับ แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่” ผมเลยถามว่า: “แล้วน้องตอบคำถามที่พวกพี่ถามน้องได้หรือยัง?”
น้องบอกว่า: “ไม่แน่ใจครับ แต่ผมคิดว่า ดีขึ้นกว่าเมื่อวานครับ”
ผมเลยบอก: “งั้นเดี๋ยวลองคุยกับลูกค้าดู จะได้มีประสบการณ์”

และน้องก็เริ่ม Present ปรากฎว่า…น้องทำออกมาได้ดีเกินคาดครับ แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงนิดหน่อย ผมเลยได้โอกาสตีเหล็กตอนมันร้อนๆนี่แหละ

ผมเลยพูดกับน้องว่า: “เห็นไหม พี่บอกน้องแล้ว ว่าน้องต้องซ้อมมาเยอะๆ เพราะการซ้อมเนี่ยจะช่วยให้ความประมาทลดลง และที่สำคัญ น้องต้องซ้อมไปจนถึงจุดที่ว่า ถ้า Present ไปแล้วจะไม่เสียใจภายหลัง”
น้องก็ตอบผมว่า: “ขอบคุณครับ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี”

หลังจากวันนั้นก็เลยทำให้ผมกับน้องเนี่ย ได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ผมหลังจากที่เริ่มสนิทกับน้องบ้างแล้ว ผมก็เลยถามน้องว่า “เหยยย! ทำไมน้องถึงอยากมาทำ UX ว่ะ” น้องก็เลยเล่าให้ผมฟังว่า น้องเคยเป็น Dev มา 4 เดือน แต่ไม่สามารถเขียน Code ได้เลย และเหมือน Logic น้องไม่ได้ น้องรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่มีคุณค่า” เลยอยากมาลองอย่างอื่นที่ไม่ใช่การ Coding แต่ตอนนี้ น้องก็เริ่มรู้สึกว่า UX/UI มันยากและเริ่มไม่เหมาะกับน้องอีกครั้ง

ผมหลังจากที่ผมได้ยินแบบนั้น

ผมก็เลยถามน้องว่า: “แล้วน้องได้พยายามมันเต็มที่แล้วหรือยัง?”
น้องตอบผมว่า: “ยังครับ แต่ บลาๆๆๆๆ”
ผมเลยบอกว่า: “ไม่ต้องอธิบายเพิ่มหรอก เพราะคำตอบมัน คือ ยัง ไม่ใช่หรอ และถ้าน้องหนีจากตรงนั้น อย่าลืมว่าสุดท้ายน้องก็ต้องหนีมันไปตลอดชีวิตนะ แต่ตอนนี้ น้องมาเริ่มตำแหน่งใหม่แล้ว น้องต้องเอาความรู้สึกเดิมๆ มาเป็นบทเรียน แล้วรอบนี้ลองพยายามทำมันให้เต็มที่ดู แล้วถ้าสุดท้ายมันไม่ได้จริงๆ น้องจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง แบบรอบที่แล้ว”

น้องทำหน้าอึ้ง อารมณ์แบบ พูดดีๆกับเขาก็เป็นด้วยหรอ ฮ่าๆๆๆ

ครับ และตอนนี้ผมก็ยังเฝ้าติดตามน้องคนนี้อยู่ ซึ่งหลังจากวันแรกที่เจอกัน จนถึงวันนี้ผมเห็นการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของน้องเขาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอยู่ตลอด และผมเชื่อว่า หากน้องเขาสามารถปรับความคิดของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ในทุกวันเช่นวันนี้ สักวันหนึ่งน้องเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ

ผมอยากสรุปเรื่องนี้ให้ฟังสั้นๆ แล้วกันนะครับ
1. ผมว่า Mindset เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเรา “เชื่อ” ว่าเราทำได้ อย่างน้อยเราก็จะมีกำลังใจในการฝ่าอุปสรรคไปได้ครับ
2. ถ้าเรารู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และพยายามพัฒนามัน นั่นเป็นเรื่องที่ดีครับ
3. การซ้อม เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากจะลดความประมาทแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราด้วย
4. “คนทุกคนมีคุณค่า” พยายามหาคุณค่าของเราให้เจอ เพราะผมเคยได้ยินคนบอกว่า “ต่อให้เราเป็นแค่เหรียญบาท แต่ถ้าเราอยู่หน้าห้องน้ำ เราจะมีค่ามากกว่าแบงค์พันแน่นอน เพราะมันหยอดตู้ซื้อกระดาษชำระได้

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ บทความนี้อาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมอยากจะลองเล่าประสบการณ์ที่เจอมา เผื่อจะไปสะกิดความคิดอะไรบางอย่างให้หลายๆคน ได้รู้ว่า ถ้าเรารู้สึกว่าเราแย่แล้ว บางทีอาจจะมีคนที่แย่กว่า แต่ถ้าเราไม่หยุดเดิน และพยายามไปในทิศทางที่ถูกต้อง เราจะก็เหมือนเต่าในนิทานกระต่ายกับเต่า ที่สักวันนึงเราจะชนะกระต่ายได้อย่างแน่นอนครับ

--

--

Mr.Dolphin

I'm Industrial Engineer who want to be a domain expert and handsome developer.